เรื่องการใช้ Present Perfect: การแสดงความเกี่ยวข้องระหว่างปัจจุบันและอดีต

Present Perfect เป็นหนึ่งใน tense ที่มีความสำคัญในภาษาอังกฤษ เนื่องจากสามารถใช้แสดงความเชื่อมโยงระหว่างเหตุการณ์ในอดีตและผลลัพธ์ที่ส่งผลถึงปัจจุบัน ในบทความนี้เราจะมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ Present Perfect พร้อมตัวอย่างการใช้งานในชีวิตประจำวันเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น

Present Perfect คืออะไร?

Present Perfect เป็น tense ที่ใช้ในภาษาอังกฤษเพื่อแสดงความสัมพันธ์ระหว่างเหตุการณ์ในอดีตกับผลกระทบที่ยังคงดำเนินอยู่ในปัจจุบัน การสร้างประโยค Present Perfect จะใช้คำว่า “have” หรือ “has” ตามด้วยกริยาในรูป past participle ตัวอย่างเช่น “I have eaten” หรือ “She has traveled.”

รูปแบบการใช้งาน Present Perfect:

1. ใช้เพื่อกล่าวถึงประสบการณ์ในอดีตที่มีผลกระทบต่อปัจจุบัน 

ตัวอย่าง: 

  • I have studied English, so I can communicate with foreigners.
    (ฉันได้เรียนภาษาอังกฤษมาแล้ว ทำให้ฉันสามารถสื่อสารกับชาวต่างชาติได้)

2. ใช้เมื่อกล่าวถึงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว โดยไม่ต้องระบุเวลา

ตัวอย่าง: 

  • I have already finished my homework. 
    (ฉันทำการบ้านเสร็จแล้ว) 

3. ใช้ในการถามหรือบอกเล่าเกี่ยวกับประสบการณ์ที่ไม่ระบุเวลา

ตัวอย่าง: 

  • Have you ever been to New York?
    (คุณเคยไปนิวยอร์กไหม?)
  • Yes, I have.
    (ใช่ ฉันเคยไป)

การสร้าง Present Perfect tense

Present Perfect tense ในภาษาอังกฤษสร้างขึ้นด้วยการใช้กริยาช่วย “have” หรือ “has” ร่วมกับ “past participle” ของคำกริยาหลัก การสร้าง Present Perfect ทำได้ดังนี้:
ใช้ “have” หรือ “has” ตามกับเฉพาะบุคคล (กริยาช่วย “have” ใช้กับบุคคลที่ 1 และ 2 รวมถึงบุคคลที่ 3 ในรูปเต็มและสรรพนามที่มีสัญลักษณ์พหูพจน์ และกริยาช่วย “has” ใช้กับบุคคลที่ 3 ในรูปเต็มและสรรพนามที่มีสัญลักษณ์เอกพจน์):

  • I have (I’ve) 
  • You have (You’ve) 
  • He/She/It has (He’s/She’s/It’s) 
  • We have (We’ve) 
  • They have (They’ve) 

หลังจากนั้นใช้ “past participle” ของคำกริยาหลัก ซึ่งมักเป็นรูปฐานของคำกริยาพร้อมกับ -ed หรือรูปฐานของคำกริยาบางคำที่มีรูปแบบพิเศษ เช่น: 

  • work (กริยาหลัก): worked (past participle) 
  • eat (กริยาหลัก): eaten (past participle) 
  • go (กริยาหลัก): gone (past participle) 

นำ “have” หรือ “has” และ “past participle” มาต่อกันเป็นประโยค เช่น: 

  • I have worked in this company for five years. (ผมทำงานในบริษัทนี้มาเป็นเวลาห้าปี) 
  • She has traveled to many countries. (เธอเดินทางไปยังประเทศหลายแห่ง) 

นี่คือวิธีการสร้าง Present Perfect tense ในภาษาอังกฤษ โดยมันสามารถใช้เพื่อบอกถึงประสบการณ์หรือเหตุการณ์ในอดีตที่มีผลต่อปัจจุบัน หรือเพื่อแสดงความเกี่ยวข้องระหว่างปัจจุบันและอดีตในประโยคได้. 

บุคคล กริยาช่วย (have/has)กริยาหลัก (past participle)ตัวอย่างประโยค
IhaveworkedI have worked here for five years. 
Youhavetraveled You have traveled to many places.
He/She/IthaseatenShe has eaten lunch already. 
Wehavestudied We have studied English grammar. 
They haveseenThey have seen that movie before.

1. ประสบการณ์การท่องเที่ยว

Present Perfect สามารถใช้พูดถึงประสบการณ์การท่องเที่ยวที่เคยไป โดยไม่ต้องระบุเวลา เช่น

ตัวอย่าง

  • I have visited Paris, Rome, and Tokyo.(ฉันเคยไปปารีส โรม และโตเกียว) 

2. ประสบการณ์การทำงานหรือการศึกษา

ใช้บอกเล่าประสบการณ์ที่มีผลต่อปัจจุบัน

ตัวอย่าง

  • I have worked at this company for five years.(ฉันทำงานที่บริษัทนี้มาเป็นเวลาห้าปี) 
  • She has studied psychology.(เธอได้ศึกษาเกี่ยวกับจิตวิทยา) 

3. ความสำเร็จในอดีต 

ใช้ Present Perfect เพื่อแสดงความสำเร็จที่เกิดขึ้น

ตัวอย่าง

  • They have finally achieved their goal.(พวกเขาสามารถบรรลุเป้าหมายได้สำเร็จแล้ว) 

4. ประสบการณ์ชีวิต

ใช้พูดถึงประสบการณ์ชีวิตที่ไม่ระบุเวลา

  • I have met many interesting people in my life.(ฉันเคยพบผู้คนที่น่าสนใจมากมายในชีวิต) 

สรุป

Present Perfect เป็น tense ที่มีความสำคัญ เนื่องจากช่วยให้เราสามารถแสดงความเชื่อมโยงระหว่างเหตุการณ์ในอดีตและปัจจุบันได้อย่างมีประสิทธิภาพ การใช้งาน Present Perfect ในชีวิตประจำวันสามารถช่วยให้การสื่อสารมีความชัดเจนและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะใช้ในการพูดถึงประสบการณ์ ความสำเร็จ หรือสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตและมีผลมาถึงปัจจุบัน 

โปรโมชั่นพิเศษ

โปรโมชั่นสุดคุ้มเฉพาะนักเรียนใหม่! คอร์สเรียนภาษาอังกฤษออนไลน์

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save