
สรุปหลักการใช้ If Clause 4 เงื่อนไขสำคัญ แบบเข้าใจง่าย
If Clause หรือ Conditional Sentence เป็นโครงสร้างประโยคในภาษาอังกฤษที่หลายคนคิดว่ายาก เพราะมีความซับซ้อนและต้องมีความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับ Tense และ Subject-Verb Agreement วันนี้ Speak Up Thailand โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษออนไลน์ จะสรุปหลักการใช้ If Clause ให้เข้าใจง่ายขึ้น โดยแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก ๆ ซึ่งแต่ละประเภทมีความหมายและวิธีการใช้ที่แตกต่างกัน
ตัวอย่างประโยค If Clause: Type 0
– If you heat the ice, it melts.
ถ้าคุณเอาน้ำแข็งไปอุ่น มันจะละลาย
– If my dog sees a stranger, it barks out loud.
ถ้าสุนัขของฉันเห็นคนแปลกหน้า มันจะเห่าเสียงดัง
ตัวอย่างประโยค If Clause: Type 1
– If you eat too much candy, you will get cavities.
ถ้าคุณกินลูกอมมากเกินไป ฟันจะผุได้
– If Carl speaks Chinese, she won’t understand him.
ถ้าคาร์ลพูดภาษาจีน หล่อนจะไม่เข้าใจเขาเลย
ตัวอย่างประโยค If Clause: Type 2
– If today were Friday, I would be at Jasmine’s home.
ถ้าวันนี้เป็นวันศุกร์ ฉันจะอยู่บ้านแจสมิน
– If it stopped raining, you could go out.
ถ้าฝนหยุดตก คุณก็ออกไปข้างนอกได้
ตัวอย่างประโยค If Clause: Type 3
– If Helen had gone there, she would have met Tom Hardy.
ถ้าเฮเลนได้ไปที่นั่น หล่อนคงจะได้เจอทอม ฮาร์ดี (ความจริงที่เกิดขึ้นคือเฮเลนไม่ได้ไปที่นั่น ผลคือหล่อนไม่ได้เจอทอม)
– If I had caught Jack, he would not have fallen down the stairs.
ถ้าฉันคว้าแจ็คไว้ เขาคงไม่ตกบันได (ความจริงที่เกิดขึ้นคือฉันไม่ได้คว้าแจ็คไว้ ดังนั้นเขาจึงตกบันได)
- If Clause Type 0 และ Type 1 มีความใกล้เคียงกัน ควรจำว่า หากเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นเป็นสิ่งที่แน่นอน ให้ใช้ Type 0 แต่ถ้าเป็นเหตุการณ์ที่มีความเป็นไปได้แค่เพียงบางส่วน ให้ใช้ Type 1
- If Clause Type 2 ใช้กับเหตุการณ์สมมติที่เป็นไปไม่ได้ในปัจจุบันหรืออนาคต
- If Clause Type 3 ใช้กับเหตุการณ์ในอดีตที่ผู้พูดรู้สึกเสียดายหรือเสียใจ
- ใส่ Comma เมื่อ If Clause อยู่ที่ต้นประโยค เช่น:
If Mena called Meg, she could go. - ไม่ต้องใส่ Comma หาก If Clause อยู่กลางประโยค เช่น:
You could have been on time if you had caught the bus.
