ทำความรู้จัก Parts of Speech 1 ใน grammar พื้นฐานที่ต้องรู้ก่อนเรียนภาษาอังกฤษ 

ทำความรู้จัก Parts of Speech 1 ใน grammar พื้นฐานที่ต้องรู้ก่อนเรียนภาษาอังกฤษ 

ในการเรียนภาษาอังกฤษให้ได้ผลดีและใช้ได้จริง การเข้าใจโครงสร้างของภาษาเป็นเรื่องจำเป็นมาก และหนึ่งในพื้นฐานสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ Parts of Speech หรือชนิดของคำ ซึ่งถือเป็นโครงกระดูกของทุกประโยค ไม่ว่าคุณจะพูด อ่าน หรือเขียน ก็ต้องเกี่ยวข้องกับชนิดของคำเหล่านี้เสมอ 

ในบทความนี้ เราจะพาคุณเจาะลึกทุกประเภทของคำใน grammar พื้นฐาน พร้อมตัวอย่างที่เข้าใจง่าย เทคนิคการแยกแยะ และการนำไปใช้จริง 

Grammar พื้นฐาน – Parts of Speech คืออะไร

Grammar พื้นฐาน – Parts of Speech คืออะไร

“Parts of Speech” หรือชนิดของคำ คือหนึ่งในหัวใจหลักของ Grammar พื้นฐาน ที่ผู้เรียนภาษาอังกฤษต้องรู้ เพราะเป็นการจำแนกคำตามหน้าที่ในประโยค เช่น คำนาม คำกริยา คำคุณศัพท์ และอีกหลายประเภท การเข้าใจ Parts of Speech ช่วยให้เราเขียนและพูดภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้อง เป็นระบบ และมืออาชีพมากขึ้น 

ความสำคัญของ Parts of Speech ในการเรียน Grammar พื้นฐาน

ความสำคัญของ Parts of Speech ในการเรียน Grammar พื้นฐาน

การเรียนรู้ว่าแต่ละคำทำหน้าที่อย่างไรในประโยค เป็นพื้นฐานที่ช่วยป้องกันความผิดพลาดทางไวยากรณ์ และทำให้เราสื่อสารได้ชัดเจน ไม่คลุมเครือ การเข้าใจ grammar พื้นฐาน ผ่าน Parts of Speech ยังช่วยพัฒนาทักษะทั้งการเขียนและการพูด โดยเฉพาะเมื่อต้องใช้ภาษาอังกฤษในงานหรือการศึกษา

1.Noun (คำนาม) 

หน้าที่: ใช้เรียกชื่อของสิ่งต่าง ๆ เช่น คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ ความรู้สึก ความคิด เป็นคำที่บ่งบอกว่า “อะไร” หรือ “ใคร” ที่กำลังพูดถึงในประโยค 

ประเภทของคำนาม: 

  • Common noun (คำนามทั่วไป): ใช้เรียกสิ่งของหรือคนทั่ว ๆ ไป เช่น book (หนังสือ), cat (แมว), house (บ้าน) 
  • Proper noun (คำนามเฉพาะ): ใช้เรียกชื่อเฉพาะ เช่น John (จอห์น), Bangkok (กรุงเทพฯ), Google (กูเกิล) 
  • Abstract noun (คำนามนามธรรม): ใช้เรียกสิ่งที่จับต้องไม่ได้ เช่น love (ความรัก), freedom (เสรีภาพ), happiness (ความสุข) 
  • Collective noun (คำนามหมู่): ใช้เรียกกลุ่มของคนหรือสิ่งของ เช่น team (ทีม), family (ครอบครัว), class (ชั้นเรียน) 

ตัวอย่างประโยค: 

  • The dog is sleeping on the bed. 
    (สุนัขกำลังนอนอยู่บนเตียง) 
  • She has a lot of confidence in her work. 
    (เธอมีความมั่นใจมากในงานของเธอ) 

เคล็ดลับ: คำนามมักอยู่ในตำแหน่ง ประธาน (subject) ของประโยค เช่น “The cat runs fast.” หรืออยู่ในตำแหน่ง กรรม (object) เช่น “She loves music.” 

2. Pronoun (คำสรรพนาม) 

 ใช้แทนคำนาม เพื่อหลีกเลี่ยงการกล่าวซ้ำ หรือความซ้ำซ้อนในประโยค 

ประเภทของคำสรรพนาม: 

  • Personal pronouns (บุรุษสรรพนาม): I (ฉัน), you (คุณ), he (เขา), she (เธอ), it (มัน), we (พวกเรา), they (พวกเขา) 
  • Possessive pronouns (คำสรรพนามแสดงความเป็นเจ้าของ): mine (ของฉัน), yours (ของคุณ), theirs (ของพวกเขา) 
  • Reflexive pronouns (คำสรรพนามสะท้อนกลับ): myself (ตัวฉันเอง), himself (ตัวเขาเอง), themselves (ตัวพวกเขาเอง) 
  • Relative pronouns (คำสรรพนามเชื่อมโยง): who (ผู้ที่), which (ซึ่ง), that (ที่) 
  • Demonstrative pronouns (คำสรรพนามชี้เฉพาะ): this (นี้), that (นั้น), these (เหล่านี้), those (เหล่านั้น) 
  • Interrogative pronouns (คำสรรพนามคำถาม): what (อะไร), who (ใคร), which (อันไหน) 

ตัวอย่างประโยค: 

  • Anna is kind. She helps everyone. (แอนนาใจดี เธอช่วยทุกคน) 
  • This book is mine. (หนังสือเล่มนี้เป็นของฉัน) 

 เคล็ดลับ: คำสรรพนามมักเปลี่ยนรูปตามหน้าที่ในประโยค เช่น he (ประธาน) → him (กรรม) หรือ I → me → my → mine ขึ้นอยู่กับตำแหน่งและหน้าที่ในประโยค 

3. Verb (คำกริยา) 

หน้าที่: แสดงการกระทำ (action) หรือสภาวะ (state) ของประธานในประโยค 

ประเภทของคำกริยา: 

  • Action verbs (คำกริยาแสดงการกระทำ): run (วิ่ง), eat (กิน), speak (พูด) 
  • Stative verbs (คำกริยาแสดงสภาวะ): be (เป็น/อยู่/คือ), seem (ดูเหมือน), know (รู้) 
  • Auxiliary verbs (กริยาช่วย): is, do, have 
  • Modal verbs (กริยาแบบ modal): can (สามารถ), could, must (ต้อง), will (จะ) 

ตัวอย่างประโยค: 

  • She is a doctor. (เธอเป็นหมอ) 
  • They are playing football. (พวกเขากำลังเล่นฟุตบอล) 
  • He can swim very well. (เขาว่ายน้ำเก่งมาก) 

เคล็ดลับ: กริยามีการเปลี่ยนรูปตาม tense (กาลเวลา) เช่น play → played (past) และอาจต้องใช้ auxiliary verb ร่วมด้วยในการสร้างประโยค 

4. Adjective (คำคุณศัพท์) 

หน้าที่: ขยายหรือให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคำนาม/คำสรรพนาม เช่น บอกลักษณะ จำนวน หรือคุณสมบัติ 

ประเภทของคำคุณศัพท์: 

  • Descriptive (บรรยาย): beautiful (สวย), tall (สูง), intelligent (ฉลาด) 
  • Quantitative (ปริมาณ): some (บางส่วน), many (มาก), few (น้อย) 
  • Demonstrative (ชี้เฉพาะ): this, that 
  • Possessive (แสดงความเป็นเจ้าของ): my, your, his 
  • Interrogative (คำถาม): which, what 

ตัวอย่างประโยค: 

  • She wore a red dress. (เธอสวมชุดกระโปรงสีแดง) 
  • I have three brothers. (ฉันมีพี่น้องผู้ชายสามคน) 

เคล็ดลับ: คำคุณศัพท์มักวาง หน้าคำนาม ที่ขยาย เช่น “a tall man” หรือ ตามหลัง verb to be เช่น “He is smart.” 

5. Adverb (คำวิเศษณ์) 

หน้าที่: ขยายคำกริยา คำคุณศัพท์ หรือคำวิเศษณ์อื่น เพื่อบอกวิธีการ เวลา สถานที่ ความถี่ หรือระดับ 

ประเภทของคำวิเศษณ์: 

  • Manner (อย่างไร): quickly (อย่างรวดเร็ว), slowly (อย่างช้า) 
  • Place (ที่ไหน): here (ที่นี่), there (ที่นั่น) 
  • Time (เมื่อไหร่): now (ตอนนี้), yesterday (เมื่อวาน) 
  • Frequency (บ่อยแค่ไหน): always (เสมอ), never (ไม่เคย) 
  • Degree (ระดับ): very (มาก), quite (ค่อนข้าง) 

ตัวอย่างประโยค: 

  • She speaks fluently. (เธอพูดได้อย่างคล่องแคล่ว) 
  • He usually gets up at 6 a.m. (เขามักตื่นเวลา 6 โมงเช้า) 

เคล็ดลับ: คำวิเศษณ์บางคำลงท้ายด้วย -ly เช่น “happily” แต่ไม่ใช่ทุกคำ เช่น “fast” ก็เป็น adverb ได้ 

6. Preposition (คำบุพบท) 

หน้าที่: เชื่อมคำนามหรือสรรพนามกับคำอื่นในประโยค เพื่อแสดงความสัมพันธ์ เช่น ตำแหน่ง เวลา หรือวิธีการ 

ตัวอย่างคำบุพบททั่วไป: in (ใน), on (บน), at (ที่), by (โดย), under (ใต้), between (ระหว่าง), for (เพื่อ) 

ตัวอย่างประโยค: 

  • The book is on the table. (หนังสืออยู่บนโต๊ะ) 
  • He arrived at 8 o’clock. (เขามาถึงเวลา 8 โมง) 

 เคล็ดลับ: Preposition จะตามด้วยคำนามหรือสรรพนามเสมอ เช่น in the house, for her 

7. Conjunction (คำสันธาน) 

เป็นคำที่ใช้เชื่อมคำ วลี หรือประโยคเข้าด้วยกัน โดยแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทหลัก

ประเภทของคำสันธาน: 

  • Coordinating Conjunctions (เชื่อมเท่าเทียม): คำสันธานเชื่อมแบบเท่าเทียม เช่น and, but, or, so, yet ซึ่งใช้เชื่อมส่วนที่มีความสำคัญเท่ากัน
  • Subordinating Conjunctions (เชื่อมประโยครอง): คำสันธานเชื่อมประโยครอง เช่น because, although, if, when ที่ใช้บอกเหตุผล เงื่อนไข หรือเวลา
  • Correlative Conjunctions (ใช้เป็นคู่): คำสันธานที่ใช้เป็นคู่ เช่น either…or, neither…nor

ตัวอย่างประโยค: 

  • I want pizza and pasta. (ฉันอยากกินพิซซ่าและพาสต้า) 
  • He left early because he was tired. (เขาออกไปก่อนเพราะเขาเหนื่อย) 

 เคล็ดลับ: โครงสร้างของประโยคที่ใช้ conjunction ต้องสมดุล เช่น subject + verb ทั้งสองฝั่ง 

8. Interjection (คำอุทาน) 

หน้าที่: แสดงอารมณ์หรือความรู้สึกแบบฉับพลัน เช่น ความตกใจ ดีใจ หรือเจ็บปวด มักไม่เชื่อมกับส่วนอื่นของประโยค 

ตัวอย่างคำอุทาน: wow!, ouch!, hey!, oh no!, yikes! 

ตัวอย่างประโยค: 

  • Wow! That’s amazing! (ว้าว! น่าทึ่งมาก!) 
  • Ouch! That really hurts. (โอ๊ย! เจ็บจริง ๆ) 

เคล็ดลับ: Interjection มักแยกออกจากโครงสร้างหลักของประโยค และมักตามด้วยเครื่องหมายอัศเจรีย์ (!) หรือคอมมา (,)

ตัวย่อของ Part of Speech 

ชนิดของคำ ภาษาอังกฤษ ตัวย่อ
คำนามNounn.
สรรพนามPronounpron.
คำกริยาVerbv.
คำคุณศัพท์Adjectiveadj.
คำวิเศษณ์Adverbadv.
คำบุพบทPrepositionprep.
คำสันธานConjunctionconj.
คำอุทานInterjectioninj.

สรุป 

Parts of Speech คือรากฐานของ grammar พื้นฐาน ที่ผู้เรียนภาษาอังกฤษทุกคนต้องเข้าใจ เพราะมันช่วยให้คุณสร้างประโยคได้อย่างถูกต้อง สื่อสารได้อย่างมั่นใจ และพร้อมพัฒนาไปสู่การใช้ภาษาอังกฤษระดับสูง 

เริ่มจากการทำความเข้าใจบทบาทของคำแต่ละประเภท ฝึกใช้อย่างสม่ำเสมอ แล้วคุณจะพบว่าการเรียนภาษาอังกฤษ “ไม่ยากอย่างที่คิด” 

This will close in 0 seconds